หม่อมหลวงชูชาติ กำภู เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2448 ที่ตำบลประตูสามยอด
อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร เริ่มการศึกษาในโรงเรียนมัธยมวัด เทพศิรินทร์
เมื่อ พ.ศ. 2457 เรียนจบได้รับประกาศนียบัตรชั้นมัธยมบริบูรณ์ เมื่ออายุ
17 ปี และสอบชิงทุนได้รับทุนเล่าเรียนหลวงให้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ
ได้เข้าศึกษาที่ St. Peter's School, York, England เมื่อ พ.ศ. 2466
แล้วจึงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ City and Guild's Engineering Collage,
London University เมื่อ พ.ศ. 2468 สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาโททางวิศวกรรมโยธา
ประกาศนียบัตรและปริญญาบัตรที่ได้รับจากมหาวิทยาลัยนี้คือ A.C.G.I.,
B.Sc. ทางวิศวกรรมโยธา D.I.C. (Advanced Diploma of Imperial Collage)
และปริญญาโท M.Sc. ทางคอนกรีตและไฮโดรลิกส์ ในปี พ.ศ. 2472 ได้เข้าฝึกงานในด้านวิศวกรรมโยธา
ในกรมโยธาธิการของอังกฤษอีก 1 ปี จึงกลับประเทศไทย
หม่อมหลวงชูชาติ กำภู เริ่มเข้ารับราชการในกรมชลประทาน เมื่อวันที่
18 สิงหาคม พ.ศ. 2473 จนเกษียณอายุราชการ รวมเวลารับราชการ 36 ปี และเมื่อเข้ารับราชการในกรมชลประทานเพียง
18 ปี ก็ได้รับพระราชโองการโปรดเกล้า แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน
เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2492 และได้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อมาอีกเป็นเวลานานถึง
18 ปี ท่านได้อุทิศกำลังกาย กำลังใจและกำลังสติปัญญาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสริมสร้างกิจการชลประทานของประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยะประเทศ
ท่านเป็นผู้รักงานเป็นชีวิตจิตใจ มีความสุขเมื่อเห็นผลสำเร็จของงาน
งานจึงก้าวหน้าไปด้วยดีโดยลำดับ กิจกรรมต่างๆ ที่ท่านได้ปฏิบัติมา
ทำให้เป็นที่ประจักษ์ถึงคุณความดี จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี 2 สมัย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2499
และวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2501 เป็นที่ปรึกษาของธนาคารโลก รองประธานองค์การ
International Commission on Irrigation and Drainage เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510
ในช่วงที่ท่านเข้ามาดำรงตำแหน่งอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เป็นระยะที่จะต้องดำเนินงานตามโครงการปรับปรุงและขยายงานมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ที่เกษตรกลางบางเขนขึ้น ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
ในระยะ 5 ปีแรก (พ.ศ. 2510-2514) ที่จะขยายงานให้รับนิสิตได้ 5,000
คน และในระยะ 5 ปีที่สอง (พ.ศ. 2515-2519) ให้รับนิสิตได้ 10,000 คน
ตามมติของสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในขณะนั้น ที่ว่า
1. ความต้องการนักวิชาการในระดับปริญญาตรีสาขาต่างๆ ของวิชาที่เกี่ยวกับการเกษตรจะมากกว่า
400 คน ต่อปี
2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ควรจะขยายงานเพื่อรับนิสิตให้ได้เกิน5,000
คน ในอนาคต
3. จัดหาสถานที่เพื่อรับแผนการขยายงานมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่
3 (พ.ศ. 2515-2519)
เพื่อให้การขยายงานของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ดำเนินไปตามมติของสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ดังกล่าว
ท่านได้พิจารณาจัดซื้อที่ดิน ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งทำให้มีวิทยาเขตกำแพงแสนและความเจริญก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน
|