วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๙ ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ชาวเกษตรว่า "ตามปกติก็เป็นการชุมชนเช่นนี้ มีขึ้นที่มหาวิทยาลัยที่หอประชุม ในปีนี้ก็มีของใหม่เพราะว่าเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ยังงั้นก็จะซ้ำเกินไป ทั้งนี้ก็วันนี้พิเศษได้เคยบอกผู้ที่มาติดต่อเกี่ยวข้องกับเชิญไปเยี่ยมมหาวิทยาลัย บอกว่าปีนี้จะมีพิเศษ ๒ อย่าง ก็อย่างหนึ่งการที่เปลี่ยนแล้วอีกอย่างหนึ่งเรื่องเพลงนั้น ตอนนั้นได้บอกไว้ว่าได้เพียงครึ่งเพลงแล้วได้ความว่าพวกนักศึกษา นิสิตเก่า ทุกคนเขาก็บอกว่าครึ่งเพลงก็เอาดี ก็เลยมีกำลังใจเหมือนกันว่า ครึ่งเพลงนั้นรู้สึกจะลำบาก เพราะว่าถ้าเล่นไปครึ่งเพลง อีกครึ่งเพลงมันเงียบจะเหงาก็เลยได้แต่งให้เต็มเพลงแล้ว เกือบจะผิดสัญญาไปแล้ว เพราะว่าปีที่แล้วที่ไปมหาวิทยาลัยได้บอกว่าปีหน้าได้แน่ แล้วก็ใกล้เวลาทุกที ยังได้ครึ่งเพลงก็เลยรู้สึกว่าใจไม่คอยสบาย และยิ่งได้รับหนังสือเชิญไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยก็ยิ่งทำให้รู้สึกใจยิ่งไม่สบายใหญ่เลย นี้เป็นที่มาของการเชิญมาเลี้ยงที่นี้ เพราะว่าถ้าสมมุติเพลงไม่มี ท่านทั้งหลายอาจจะลืมก็ได้ จะได้ไม่หน้างอ แต่ปรากฏว่าผลว่าการที่เชิญมาที่นี้แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมา แล้วก็เลยแต่งได้ให้ครบเพลงก็เป็นบุญของ จะว่าเป็นบุญของมหาวิทยาลัยหรือเป็นบุญของผู้แต่งก็ไม่ทราบ ที่จริงเป็นบุญทั้งคู่ เพราะผู้แต่ง ถ้าไม่ได้แต่งให้ครบแล้วจะพบหน้าพรรคพวก พวกนี้จะมองหน้ากันไม่ได้เพราะว่าบอกไว้แล้วว่าจะให้เพลงแล้วไม่ได้เพลง แล้วมองหน้ากันไม่ได้ ที่ขาดอย่างหนึ่งก็คือทุกปีการเชิญไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นการภายใน ก็เคยไปพบคณะอาจารย์ แล้วก็ทั้งพวกนิสิตเก่า ทั้งนิสิตปัจจุบันครบถ้วน วันนี้ก็มากันนับว่าครบถ้วนพอดู แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ขาดก็คือไม่ได้ไปเยี่ยมต้นไม้ ในการไปนั้นเป็นห่วงว่าต้นไม้จะงอกงามดีหรือเปล่าก็ต้องงดไป ในปีนี้ แต่ว่าเชื่อว่าทุกคนก็คงได้ดูเต็มความสามารถแล้วก็คงเจริญเติบโต ไม่เสียชื่อของมหาวิทยาลัย
ที่เชิญมาในนี้ก็เป็นโอกาสให้ทุกคนมาดูว่า ในนี้ก็มีต้นไม้เหมือนกันแล้ว ก็ต้นไม้เหล่านี้ บางต้นก็เก่าแก่ได้ปลูกตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ แล้ว ก็มีต้นหนึ่งที่ยังได้ผลอยู่เสมอ อยู่ตรงมุมโน้น หมายความว่า รัชกาลที่ ๕ ก็เป็นปู่ แล้วก็หลานเก็บได้ผล ยังได้ใช้ผลอยู่เสมอ ให้เห็นว่าการที่ปลูกต้นไม้นั้น มิใช่เป็นเรื่องระยะสั้น ถ้าเราปลูกต้นไม้ในวันนี้ลูกหลานของเราก็คงได้ผลดี จึงได้มีการทดลองปลูกต้นไม้ในสวนจิตรลดา ซึ่งต้นไม้เหล่านั้นกว่าจะได้ผล หมายถึงว่าเป็นต้นไม้ใช้สำหรับไม้มิใช่สำหรับผล กว่าจะได้ผลก็คงกินเวลาสัก ๖๐ ปี กว่าจะโตพอที่จะมาใช้เป็นไม้สำหรับสร้างบ้านเรือน แต่ว่าแม้แต่อีก ๖๐ ปี พวกเราหลายคนก็คงมีตายไปแล้วก็ไม่ใช้น้อย พวกที่เหลือคงเดินง่อกแง่ก ๆ เพราะว่าชรา แต่ก็ความสำคัญอยู่ที่ว่าต้นไม้นั้น ถ้าเราไม่ได้ปลูกในวันนี้ลูกหลานเราก็ไม่ได้รับ แล้วก็เคยเปรียบเทียบเหมือนกับว่านักศึกษาทุกคนในมหาวิทยาลัยก็เป็นเหมือนต้นไม้ ต้องปลูก ปลูกฝังความรู้ให้แน่น เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ต่อไป ถึงเราเข้ามามหาวิทยาลัยก็เพื่อจะเรียนหาวิชาความรู้เพื่อไปใช้เป็นประโยชน์ต่อไป แต่ทั้งหมดนี้ก็หมายถึงความรู้นั้นที่จะไปใช้ ก็หมายความว่าไปใช้เพื่อพัฒนาประเทศเป็นส่วนรวม เพราะว่าทุกคนก็ต้องการให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองมีความก้าวหน้ามีผลิตผลดี และมีความสงบเรียบร้อยเพราะว่าทุกคนได้รับผลจากความเรียบร้อยนั้น แม้เราจะปลูกอะไรไม่ได้ผลในยุคของเรา ลูกหลานเราก็ได้ผล นี่เป็นเรื่องของประเทศชาติ ประเทศชาติจะต้องมีชีวิตยืนนานกว่า แต่ละบุคคล แต่ว่าทุกคนถ้าไม่ทำหน้าที่บอกว่าเราปลูกต้นไม้ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้เราจะไม่ได้ผลเดี๋ยวนี้ ก็เพราะว่าบรรพบุรุษได้ปลูกฝัง ปลูกไว้ให้เติบโต มิใช่ต้นไม้เท่านั้นเอง คือหมายความว่าความมั่นคงของส่วนรวม ความมั่นคงของประเทศ อันนี้ก็เป็นการเปรียบเทียบทีจะให้กำลังใจต่อนักศึกษาที่จะเรียนเต็มที่ และต่อครูบาอาจารย์ได้พยายามที่จะให้ความรู้ต่อลูกศิษย์ให้ดีแล้ว ก็ทั้งนิสิตเก่าก็ได้ช่วย โดยที่แม้แต่ตัวจะไม่ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็มาเอาใจใส่ในกิจการของมหาวิทยาลัยที่ตนเคยผ่านการศึกษา เคยรู้ มีปัญหาใดมีความลำบากอะไรก็ได้ช่วยรุ่น เรียกว่าได้ช่วยรุ่นน้องให้ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นให้ได้
การที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่า เห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แล้วก็เป็นสิ่งที่อาจจะเป็นจุดใหญ่สำคัญ ที่จะทำให้นักศึกษาและครูท้อใจได้ในกิจการที่ตนทำ ก็ขอให้คิดเสียเถิดว่า ถ้าทำงานด้วยความเข้มแข็งจริง ๆ ก็จะเป็นประโยชน์แน่ แล้วก็มีผลดีต่อตัวเองอย่างยิ่ง ในวันนี้โดยที่ไม่ได้ไปเยี่ยมต้นไม้ก็อยากทราบเหมือนกันว่าต้นไม้นี้ ต้นนนทรีที่ได้ปลูกไว้ เจริญเติบโตแค่ไหน ถ้าเติบโตดีแล้วก็เรียบร้อยดีก็ขอให้บอกว่า เติบโตดี บกพร่องอะไรก็ขอให้รายงานว่า เป็นอย่างไรจะได้แก้ไข คือว่าต้นไม้นั้นก็ที่จริงเดี๋ยวนี้ก็เป็นรุ่นพี่แล้ว ปลูกมาหลายปีแล้ว อีกหน่อยก็สำเร็จการศึกษา หมายความว่าเติบโตเรียบร้อยเป็นนักเรียนเก่าได้แล้ว แต่ต้นไม้ก็ยังคงอยู่ที่มหาวิทยาลัยดูแลพวกรุ่นน้องต่อๆ ไป
วันนี้คงไม่ควรที่จะพูดอะไรมากอีกต่อไป เพียงแต่บอกว่าวันนี้กำหนดการไม่ค่อยแน่นเพราะว่า สถานที่ใหม่ แล้วก็การจัดการใหม่ โฆษกก็ไม่ทราบว่าจะมีหรือไม่ ก็ต้องเชิญชวนใครที่มีความสามารถทางเป็นโฆษกให้ขึ้นมาด้วย แล้วก็การฟังดนตรีให้เป็นกันเอง ใครอยากร้องเพลงก็ร้อง เพราะประเทศไทยเรามีเสรีทุกอย่าง ใครอยากร้องเพลงเดินขึ้นมาเลย แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าต้องนักศึกษานิสิตปัจจุบัน นิสิตเก่าก็ขึ้นมาได้ ครูผู้เฒ่าก็ขึ้นมาได้ แล้วก็จะมีความสำคัญเรื่องเพลง เรื่องเพลงที่แต่งขึ้นใหม่นั้นต้องขอชี้แจงไว้นิด ฟังแล้วอาจจะตกใจเพราะว่าเพลงที่ประจำมหาวิทยาลัยในเมืองไทย เดี๋ยวนี้ก็มีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็ของธรรมศาสตร์ ที่ได้ให้ทั้งสองเพลงนั้นกับเพลงมหาวิทยาลัยนี ้ต้องบอกว่ายาวเท่ากัน ไม่ต้องอิจฉาว่าของเขายาวกว่าหรือสั้นกว่า ยาวเท่ากัน แล้วก็การสร้างเพลงนั้น ก็สร้างในแบบเดียวกัน ไม่ต้องอิจฉาอะไร แล้วก็ถ้าชอบบอกว่าชอบ ถ้าไม่ชอบ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาจจะแก้ไข อย่างไรก็ตาม แต่ก็มีอย่างหนึ่ง คือ เพลงของจุฬาฯ เขาก็บอกว่าเพลงของเขา เพราะที่สุด ถ้าไปถามชาวธรรมศาสตร์ ว่าเพลงไหนเพราะที่สุด เขาก็บอกว่า เพลงธรรมศาสตร์ แล้ว ถ้า ถามพวกเกษตร น่ากลัวบอกว่าเพลงเกษตรเพราะกว่า ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่งไรนะ แจ่ว่าเพลง ของจุฬาฯ เขาโอ้อวดว่าสง่าผ่าเผยมากแล้วก็เพราะมาก ถ้าพูดถึงว่าเพลงธรรมศาสตร์ เขาก็บอกว่า องอาจดี เดินก็ได้ จุฬาฯ เขาก็ตอบว่าของเขาก็เดินได้เหมือนกัน เป็นเพลงสำหรับนำแถวได้ เพลง ของเกษตรนี้ก็ที่จริงก็ควรจะตัดสินเอาเองว่าเป็นอย่างไร แต่ความคิดส่วนตัวของผู้แต่ง รู้สึกว่าเป็นเพลงที่อ่อนหวาน อ่อนหวานกว่า ๒ เพลงโน้น แต่อ่อนหวานนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่เข้มแข็ง แต่อ่อนหวานนี้ อาจจะมีความหมายได้ว่าผลิตผลของทางเกษตรนี้รวมทั้งผลไม้หรือสิ่งที่บริโภค ถ้ารสหวาน รู้สึกว่าดี เพราะเขานิยมกันอย่างนั้น ข้าวโพดหวานเขาก็ชอบ ก็เลยคิดว่าเพลงหวานไม่เป็นไร แต่ถ้านำไปเดินสำหรับนำแถวก็อาจจะ เปลี่ยนแปลงไปหน่อย ก็อาจจะเป็นเพลงสำหรับแตรวง เดินก็อาจจะพอได้ แต่ขออย่างเดียวอย่าเดินขบวน ที่ว่า เดินขบวนนั้นโดยมีแตรวงนำก็ไม่ใช่เดินขบวน แต่ว่าเดินขบวนโดยที่ไม่มีแตรวงแล้วก็ไม่มีเหตุผล ทราบดีว่าไม่ได้ ที่ต้องพูดอย่างนี้ก็ต้องแขวะ นิดหน่อยเสมอ แต่ว่าพูกมากแล้ว บัดนี้ก็เริ่มรายการได้เพราะว่า รายการ กำหนดการบอกแล้วว่าไม่มี หิวเมื่อไหร่ก็มีการเลี้ยงเป็นกันเอง หวังว่ามีอาหารพอ ดูเหมือนเตรียมไว้รับสถานการณ์ไว้อย่าง แข็งแรง คือ ขอให้เป็นกันเองจริง ๆ แล้วก็ไม่ถือว่าไม่ต้องเกรงใจ เวทีดูเหมือนก็สร้างไว้แข็งแรงพอ เรื่องเพลงหวานนั้นน่ะ ที่ต้องบอกว่าเพลงหวานเพราะว่าวันแรกที่เล่น เกิดปวดฟัน หมอเขาก็บอกว่าเพราะเพลง หวานเกินไปเลยทำให้ฟันผุ แต่ก็เมื่อวานนี้ฟันหายปวดก็เลยได้ซ้อมเพลงจะได้เล่นให้ฟัง แต่บังเอิญวันนี้ หมอฟันมาเจาะฟันอีก ก็เลยปวดอีก ก็ไม่ทราบว่าเพลงอาจจะหายหวานไปหน่อย อาจจะขมไปนิดก็คอยฟัง เดี๋ยวนี้พร้อมหรือยัง พร้อมก็จะเริ่มรายการกันเสียเลย"